WordPress ถือเป็นแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีสถิติแสดงว่า มากกว่า 40% ของเว็บไซต์ทั่วโลกถูกสร้างขึ้นด้วย WordPress ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง techcrunch.com ที่เป็นหนึ่งในแหล่งข่าวเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ดังนั้น เมื่อเว็บไซต์ถูกสร้างขึ้นบน WordPress เรียบร้อยแล้ว การทำ SEO จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าค้นเจอเว็บไซต์ของคุณบน Google และสร้างยอดขายให้กับธุรกิจได้
ในบทความนี้ เราจะข้ามขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress เนื่องจากเรามั่นใจว่าผู้อ่านที่กำลังอ่านอยู่ในตอนนี้มีเว็บไซต์ที่พร้อมใช้งานอยู่แล้วและมีความคุ้นเคยกับ WordPress พอสมควร สิ่งที่เราจะพูดถึงคือ 15 ปัจจัยสำคัญในการทำ SEO WordPress ที่หลายคนมักมองข้าม จะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกันกับ FirstRankPlus ได้เลย หากต้องการเว็บไซต์ WordPress ทางเรา รับทำเว็บ WordPress ทุกรูปแบบ
สารบัญ
15 ปัจจัยสำคัญของการทำ SEO WordPres
1. เลือก Hosting ที่มีคุณภาพ
การเลือกผู้ให้บริการ Hosting เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ Hosting ที่มีคุณภาพจะช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วและมีความเสถียร ในขณะเดียวกันก็ลดปัญหาการล่มหรือการเข้าถึงที่ไม่เสถียร การเลือก Hosting ที่มีการสนับสนุน SSL (Secure Socket Layer) ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของผู้ใช้และทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรตรวจสอบคุณสมบัติอื่นๆ เช่น การสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ความสามารถในการปรับขยาย (scalability) และการสนับสนุนลูกค้าเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับการดูแลที่ดีที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
2. เลือกธีมที่ SEO Friendly
ธีมที่ดีมีโครงสร้างที่เหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐาน SEO ทำให้เสิร์ชเอนจินสามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่าย ธีมควรมีการออกแบบที่ตอบสนองต่อการใช้งานบนมือถือ (responsive design) และโหลดได้เร็ว นอกจากนี้ ธีมที่ดีควรมีคุณสมบัติในการปรับแต่งได้ง่าย เช่น การตั้งค่าหรือการปรับสีและฟอนต์ ที่ช่วยให้คุณสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าชมและยังคงรักษาความเป็นมิตรต่อ SEO
3. อย่าใช้ Plugin เยอะเกินไป
การใช้ Plugin มากเกินไปอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลงและเกิดปัญหาความเข้ากันได้ระหว่าง Plugin ต่างๆ การเลือกใช้ Plugin ที่มีคุณภาพและมีการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดปัญหาต่างๆ เช่น ความปลอดภัยที่ต่ำหรือความขัดแย้งระหว่าง Plugin ควรพิจารณาใช้งาน Plugin ที่จำเป็นและช่วยเสริมการทำ SEO โดยตรง เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math และควรมีการอัปเดต Plugin เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
4. อย่าลืมเปิดการตั้งค่าการมองเห็นบน WordPress
ในบางครั้งการตั้งค่าการมองเห็นบน WordPress อาจถูกตั้งค่าให้ซ่อนจากเสิร์ชเอนจิน ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงได้โดยเสิร์ชเอนจิน เพื่อไม่ให้โอกาสในการค้นพบของคุณถูกจำกัด คุณสามารถเข้าไปที่การตั้งค่าของ WordPress และปิดการเลือก “Discourage search engines from indexing this site” ซึ่งเป็นการบอกเสิร์ชเอนจินว่าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในการค้นหา
5. ใช้เครื่องมือ WordPress SEO ฟรี
เครื่องมือ SEO ช่วยให้คุณเข้าใจว่าคุณควรปรับปรุงอะไรบ้างในเว็บไซต์ของคุณ เช่น การตั้งค่า Meta Tags, การเลือก Keyword ที่เหมาะสม, และการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้า ควรใช้เครื่องมืออย่าง Yoast SEO หรือ Rank Math ซึ่งจะให้คำแนะนำในการปรับปรุง SEO ของหน้าเว็บ และยังช่วยในการสร้าง XML Sitemap, กำหนด Meta Descriptions และทำการวิเคราะห์ความสามารถในการเข้าถึงของเว็บไซต์
6. โฟกัสเพียงหนึ่ง Keyword ในแต่ละหน้า
การเลือกคำหลัก (Keyword) ที่เหมาะสมและใช้เฉพาะในหน้าเดียวจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าเนื้อหาของหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร เมื่อคุณโฟกัสที่หนึ่ง Keyword คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพสูงขึ้นได้ ในการเขียนเนื้อหา ควรใช้ Keyword ในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ชื่อเรื่อง, หัวข้อ, และในเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจความสำคัญของคำหลักที่คุณต้องการเป้าหมาย
7. เพิ่มโอกาสในการสร้าง Backlink หรือ Link Building
Backlink คือ ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณในสายตาของเสิร์ชเอนจิน การมี Backlink คุณภาพจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงจะช่วยให้การจัดอันดับของคุณดีขึ้น คุณสามารถสร้าง Backlink ได้โดยการเขียนบทความ Guest Post ในเว็บไซต์อื่น, การแชร์เนื้อหาของคุณในโซเชียลมีเดีย, และการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าที่คนอื่นอยากจะเชื่อมโยงถึง
8. ตั้ง Permalink หรือ Slug ของแต่ละหน้าให้อ่านง่าย
Permalink คือ URL ที่ใช้เข้าถึงหน้าเว็บของคุณ URL ที่อ่านง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ว่าเนื้อหาของหน้าเว็บเกี่ยวกับอะไร ตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้ URL ที่มีตัวเลขหรืออักษรยาวๆ ควรใช้ URL ที่สั้นและชัดเจน เช่น www.example.com/seo-tips ซึ่งช่วยให้เสิร์ชเอนจินทำความเข้าใจได้ดีขึ้นและช่วยในการปรับปรุง SEO
9. พยายามใส่ลิงก์เชื่อมโยงกันในเว็บไซต์
การเชื่อมโยงภายใน (Internal linking) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสำรวจเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น และยังช่วยเสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ คุณควรใส่ลิงก์ไปยังบทความหรือหน้าที่เกี่ยวข้องในเนื้อหาของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาผู้เข้าชมให้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้นและลดอัตราการตีกลับ (bounce rate)
10. อัพเดทคอนเทนต์หรือบทความตลอด
การมีเนื้อหาที่สดใหม่ไม่เพียงแต่ช่วยดึงดูดผู้เข้าชม ยังทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่ามากขึ้นสำหรับเสิร์ชเอนจิน การอัปเดตบทความเก่าๆ เป็นประจำ โดยเพิ่มข้อมูลใหม่หรือปรับปรุงเนื้อหาให้มีความทันสมัย สามารถช่วยในการจัดอันดับที่ดีขึ้นและยังช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง
11. ดีไซน์เว็บไซต์ WordPress แบบ Mobile-First
ปัจจุบันผู้ใช้งานส่วนใหญ่เข้าชมเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือ ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะกับมือถือจึงสำคัญมาก เว็บไซต์ที่ออกแบบ Mobile-First จะโหลดได้เร็วและใช้งานได้สะดวกบนมือถือ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้และเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานบนมือถือ
12. ติดตั้ง Plugin ที่ช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย
ความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การติดตั้ง Plugin ที่ช่วยดูแลความปลอดภัย เช่น Wordfence หรือ Sucuri จะช่วยป้องกันการโจมตีและมัลแวร์ในเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ ควรมีการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถกู้คืนเว็บไซต์ในกรณีที่เกิดปัญหาได้
13. ติดตั้ง Sitemap
Sitemap เป็นแผนผังของเว็บไซต์ที่ช่วยให้เสิร์ชเอนจินสามารถค้นหาและจัดทำดัชนีเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น โดยการติดตั้ง Sitemap จะทำให้คุณสามารถแสดงรายการหน้าเว็บทั้งหมดและอัปเดตเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมันช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างและความสำคัญของแต่ละหน้าในเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น
14. ลดขนาดไฟล์ภาพ
ขนาดไฟล์ภาพที่ใหญ่จะทำให้เว็บไซต์โหลดช้า ซึ่งมีผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับในเสิร์ชเอนจิน การลดขนาดไฟล์ภาพโดยใช้เครื่องมือบีบอัดภาพ เช่น TinyPNG หรือ ShortPixel จะช่วยให้ภาพมีขนาดเล็กลงโดยไม่ลดคุณภาพ ทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
15. ใช้ HTTPS
HTTPS (Hyper Text Transfer Protocol Secure) ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างเว็บไซต์และผู้ใช้มีความปลอดภัยมากขึ้น โดยการใช้ SSL Certificate จะเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ปลอดภัยจากการถูกโจมตี นอกจากนี้ การใช้ HTTPS ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้เข้าชม