การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ Covid-19 ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการซื้อขายสินค้าและบริการ ทำให้ธุรกิจ E-Commerce ขายของออนไลน์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุค New Normal ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าออนไลน์ที่มีความสะดวกสบาย และการปรับตัวของธุรกิจต่างๆ เพื่อให้บริการลูกค้าได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ซึ่งนับเป็นโอกาสทองที่ผู้ประกอบการหรือผู้ที่กำลังสนใจเริ่มธุรกิจสามารถก้าวเข้ามาในตลาดนี้ได้อย่างมั่นใจ
ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงขั้นตอนและวิธีการเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce ขายของออนไลน์ เริ่มยังไงในยุค New Normal ที่จะช่วยให้คุณสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและพร้อมต่อสู้กับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น หากท่านต้องการ ทำเว็บไซต์ รับทำเว็บ e commerce
สารบัญ
วางแผนธุรกิจ E-Commerce ขายของออนไลน์ เริ่มยังไงให้ประสบความสำเร็จ
การเริ่มต้นธุรกิจ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่าย แต่การที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตและประสบความสำเร็จต้องอาศัยการวางแผนอย่างละเอียด ในขั้นตอนแรกควรทำการวิเคราะห์ตลาดเพื่อดูว่ามีความต้องการสินค้าใดในตลาดบ้าง และคำนึงถึงต้นทุนและกำไรที่คุณจะได้รับจากการขายสินค้าเหล่านั้น นอกจากนี้ยังควรพิจารณาคู่แข่งในตลาด ว่ามีใครบ้างและพวกเขามีวิธีการดำเนินธุรกิจอย่างไร เริ่มขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
หลังจากที่คุณทำการศึกษาตลาดเรียบร้อยแล้ว ควรทำแผนธุรกิจที่ครอบคลุมเรื่องต่อไปนี้
- การวางกลยุทธ์การตลาด : ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนว่าใครคือกลุ่มลูกค้าของคุณ และทำการวางแผนการสื่อสารกับลูกค้าเหล่านั้น
- การเงิน : ต้องวางแผนการใช้จ่ายในธุรกิจ รวมถึงการตั้งเป้าหมายรายได้และกำไร
- เทคโนโลยีและการดำเนินงาน : ควรเลือกเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่จะใช้ในการจัดการร้านค้าออนไลน์ รวมถึงการจัดส่งและบริการหลังการขาย
การวางแผนที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกสินค้าเพื่อขายผ่าน E-commerce ควรเลือกอย่างไร ?
เมื่อคุณเริ่มธุรกิจ E-Commerce การเลือกสินค้าที่จะขายเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของธุรกิจของคุณ คำถามสำคัญคือ “ขายอะไรดี?” คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ควรพิจารณาจาก
- ความต้องการของตลาด : คุณควรเลือกสินค้าที่มีความต้องการสูงในตลาดขณะนั้น ซึ่งสามารถศึกษาผ่านการสำรวจหรือใช้เครื่องมือวิเคราะห์ตลาดออนไลน์
- ความถนัดและความรู้ของคุณ : การขายสินค้าที่คุณมีความรู้และถนัดจะช่วยให้คุณสามารถให้บริการและคำแนะนำที่ดีแก่ลูกค้า
- การเข้าถึงแหล่งสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่แข่งขันได้ : การหาสินค้าที่สามารถทำกำไรได้ในระยะยาวเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
บางคนอาจเริ่มจากการขายสินค้าเล็กๆ เช่น เครื่องประดับ งานฝีมือ หรือสินค้าแฟชั่น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมในการขายออนไลน์อยู่เสมอ แต่หากคุณต้องการทำตลาดในระดับที่ใหญ่ขึ้น สินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีหรือของใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นตัวเลือกที่ดี
เลือกแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่เหมาะสม
การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการขายของออนไลน์เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce ในยุค New Normal เพราะแพลตฟอร์มที่คุณเลือกจะเป็นเสมือนหน้าร้านของธุรกิจคุณ ซึ่งมีผลต่อการเข้าถึงลูกค้าและประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น งบประมาณ, ขนาดธุรกิจ, และกลุ่มเป้าหมาย
ตัวเลือกแพลตฟอร์มที่คุณสามารถพิจารณาได้มีหลายแบบ ดังนี้
Marketplace (เช่น Shopee, Lazada)
เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก มีโครงสร้างการดำเนินงานที่เรียบร้อย ไม่ต้องลงทุนสร้างเว็บไซต์เอง ซึ่งสะดวกและประหยัดเวลา เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่หรือมีงบประมาณจำกัด แต่ข้อเสียคือคุณอาจจะไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ได้ชัดเจนเท่าที่ควร และต้องแข่งขันกับผู้ขายอื่นๆ อย่างสูง
สร้างเว็บไซต์ E-Commerce เอง (เช่น Shopify, WooCommerce)
การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองจะช่วยให้คุณควบคุมภาพลักษณ์และประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าได้มากกว่า คุณสามารถออกแบบและปรับแต่งฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างอิสระ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า การจัดส่ง หรือระบบสมาชิก แต่การสร้างเว็บไซต์เองมักมีค่าใช้จ่ายสูง และต้องการการดูแลและการตลาดที่มากขึ้น
Social Commerce (เช่น Facebook, Instagram)
ช่องทางโซเชียลมีเดียก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกยอดนิยม คุณสามารถเปิดร้านค้าได้ง่ายและตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว การใช้ช่องทางนี้เหมาะกับการขายสินค้าที่ต้องการการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง และการสร้างแบรนด์ผ่านการเล่าเรื่องราวหรือการอัปเดตข่าวสารประจำวัน
สิ่งสำคัญคือ ควรเลือกแพลตฟอร์มที่ตรงกับวิสัยทัศน์และความสามารถของธุรกิจ รวมถึงลักษณะของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เว็บไซต์ หรือ แพลตฟอร์ม Marketplace ควรเลือกอะไร ?
หนึ่งในคำถามยอดนิยมเมื่อเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce คือควรเลือกขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ของตนเองหรือใช้แพลตฟอร์ม Marketplace อย่าง Lazada หรือ Shopee ซึ่งแต่ละทางเลือกมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
เว็บไซต์ส่วนตัว
- ข้อดี : การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองช่วยให้คุณสามารถควบคุมประสบการณ์ของผู้ใช้ได้อย่างเต็มที่ และสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ได้อย่างชัดเจน คุณสามารถสร้างระบบสมาชิก, อีเมลล์ข่าวสาร, และโปรโมชั่นที่ปรับแต่งตามความต้องการของธุรกิจได้อย่างเสรี นอกจากนี้ ข้อมูลลูกค้าทั้งหมดจะเป็นของคุณ ซึ่งทำให้คุณสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวิเคราะห์และพัฒนาธุรกิจต่อไปได้
- ข้อเสีย : การสร้างและบำรุงรักษาเว็บไซต์ต้องการการลงทุนที่สูงกว่า การตลาดจะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่มีแพลตฟอร์มที่ช่วยดึงลูกค้าเข้ามาเหมือนกับ Marketplace
แพลตฟอร์ม Marketplace
- ข้อดี : Marketplace มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้คุณไม่ต้องลงทุนมากในส่วนของการตลาด นอกจากนี้ คุณไม่ต้องดูแลระบบหลังบ้านหรือเว็บไซต์ด้วยตัวเอง ทุกอย่างมีโครงสร้างที่เรียบร้อย และคุณเพียงแค่ลงสินค้าและจัดการกับคำสั่งซื้อ
- ข้อเสีย : การแข่งขันใน Marketplace สูงมาก คุณอาจต้องลดราคาหรือทำโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า นอกจากนี้ คุณยังไม่สามารถควบคุมประสบการณ์ของผู้ใช้งานหรือสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้เต็มที่
สำหรับผู้เริ่มต้น แพลตฟอร์ม Marketplace อาจเป็นตัวเลือกที่ง่ายและรวดเร็ว แต่เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองจะช่วยสร้างความยั่งยืนและความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของคุณในระยะยาว
วิธีโปรโมทสินค้าบนออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
การโปรโมทสินค้าในโลกออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เนื่องจากการที่มีสินค้าดีแต่ไม่มีการโปรโมทที่ดี จะทำให้สินค้าไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ดังนั้น การทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันในตลาดออนไลน์สูงขึ้น
การใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing)
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ TikTok เป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ คุณสามารถโพสต์เนื้อหาที่น่าสนใจหรือเน้นการใช้รูปภาพและวิดีโอที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชม อีกทั้งยังสามารถใช้ฟีเจอร์การโฆษณาแบบเสียเงิน เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มได้ง่ายขึ้น
การสร้างเนื้อหาคุณภาพ (Content Marketing)
เนื้อหาคือกุญแจสำคัญของการดึงดูดลูกค้า คุณควรเขียนบทความ บล็อก หรือสร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาที่ให้ความรู้หรือสร้างคุณค่าให้กับผู้ชม นอกจากนี้ การใช้ SEO เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหาของ Google ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้
Influencer Marketing
การทำงานร่วมกับ Influencer ที่มีฐานผู้ติดตามที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เป็นวิธีที่รวดเร็วในการโปรโมทสินค้า และสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าของคุณได้อย่างมาก
การใช้กลยุทธ์โปรโมทที่หลากหลายจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระบบการจัดการคำสั่งซื้อและการขนส่ง สำหรับธุรกิจขายของออนไลน์
ในปัจจุบันธุรกิจ E-commerce ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสำคัญของการจัดการคำสั่งซื้อและการขนส่งที่มีประสิทธิภาพไม่อาจปฏิเสธได้ การใช้ระบบการจัดการที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรองรับคำสั่งซื้อจำนวนมาก ลดความผิดพลาดในการจัดการ และเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างมาก
ระบบการจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management System: OMS)
OMS คืออะไร? OMS หรือ Order Management System คือระบบที่ใช้ในการบริหารจัดการคำสั่งซื้อทั้งหมดตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อจนถึงการจัดส่ง ระบบนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสถานะคำสั่งซื้อ ตรวจสอบสต็อกสินค้า และประมวลผลคำสั่งซื้อได้อย่างรวดเร็ว
ระบบ OMS กับธุรกิจขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ธุรกิจที่มีขนาดต่างกันย่อมต้องการระบบการจัดการที่แตกต่างกัน ธุรกิจขนาดเล็กอาจเริ่มต้นด้วยระบบพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อน แต่ธุรกิจขนาดใหญ่จำเป็นต้องใช้ระบบที่มีความสามารถในการรองรับคำสั่งซื้อจำนวนมาก และสามารถผสานกับระบบอื่นๆ ได้
ระบบการขนส่ง (Logistics System)
ระบบขนส่งคืออะไร? ระบบขนส่งหรือ Logistics System คือระบบที่ช่วยในการจัดการการเคลื่อนย้ายสินค้า ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การเลือกใช้ระบบขนส่งที่เหมาะสมจะช่วยให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและลดต้นทุนในการจัดส่ง
การเลือกผู้ให้บริการระบบ OMS และขนส่งที่เหมาะสม
การเลือกผู้ให้บริการระบบ OMS
- ความสามารถในการจัดการหลายช่องทาง (Omnichannel) OMS ควรสามารถจัดการคำสั่งซื้อจากหลายช่องทาง (เช่น เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, ร้านค้าปลีก) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวมเป็นหนึ่งเดียว
- ความยืดหยุ่นในการปรับขนาด (Scalability) ระบบควรสามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ โดยไม่มีปัญหาเมื่อมีคำสั่งซื้อมากขึ้นหรือต้องการขยายการให้บริการ
- การรวมระบบกับเครื่องมืออื่น ๆ (Integration) OMS ที่ดีควรสามารถเชื่อมต่อกับระบบ ERP, CRM, หรือซอฟต์แวร์บริหารสินค้าคงคลัง รวมถึงผู้ให้บริการขนส่งต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น
- การติดตามและการรายงานผลแบบเรียลไทม์ การติดตามสถานะคำสั่งซื้อ, การอัปเดตสต็อกสินค้า และการจัดทำรายงานอย่างละเอียดแบบเรียลไทม์เป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้กระบวนการทำงานมีความแม่นยำและโปร่งใส
- ประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience) ระบบควรใช้งานง่าย ทั้งสำหรับทีมงานและลูกค้า ระบบที่มี UI/UX ที่ดีจะช่วยให้การจัดการเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความพึงพอใจสูงขึ้น
- ต้นทุน ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง, การใช้งาน และค่าบริการรายเดือนหรือรายปี รวมถึงค่าใช้จ่ายแอบแฝงต่าง ๆ
การเลือกผู้ให้บริการระบบขนส่ง
- การขนส่งที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ ความเร็วและความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจสำคัญ ผู้ให้บริการขนส่งที่มีประวัติการให้บริการตรงต่อเวลาและมีความแม่นยำในการจัดส่งจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
- พื้นที่การให้บริการ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการสามารถจัดส่งได้ทั่วถึงพื้นที่ที่ธุรกิจคุณต้องการบริการ รวมถึงต่างประเทศถ้าจำเป็น
- การติดตามสถานะการจัดส่ง (Real-Time Tracking) ระบบติดตามการจัดส่งแบบเรียลไทม์ที่สามารถให้ลูกค้าติดตามพัสดุได้ ช่วยสร้างความมั่นใจและลดความกังวลใจในกระบวนการจัดส่ง
- ความยืดหยุ่นในการเลือกวิธีการขนส่ง ควรมีทางเลือกหลายประเภท เช่น การจัดส่งแบบด่วน (Express), การจัดส่งแบบปกติ หรือการจัดส่งเฉพาะวันและเวลา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกตามความต้องการได้
- ค่าใช้จ่ายและการคำนวณค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งต้องเหมาะสมและคุ้มค่า รวมถึงมีระบบคำนวณค่าจัดส่งที่โปร่งใสและแม่นยำ
- การบริการลูกค้า เลือกผู้ให้บริการที่มีระบบสนับสนุนและบริการลูกค้าที่ดี สามารถแก้ไขปัญหาและให้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สุดท้าย เคล็ดลับเพิ่มโอกาสสำเร็จในธุรกิจ E-Commerce
การให้บริการลูกค้า
การให้บริการที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาซื้อซ้ำ การตอบสนองที่รวดเร็วและการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า การให้บริการหลังการขาย เช่น การรับคืนสินค้าและการรับประกัน จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
การวิเคราะห์และปรับปรุง
การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คุณสามารถใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากลูกค้าและการขายเพื่อติดตามแนวโน้มและพฤติกรรมของผู้บริโภค การวิเคราะห์ช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด ปรับสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และวางแผนการเติบโตในอนาคต