ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2003 WordPress พัฒนาจากแพลตฟอร์มบล็อกที่เรียบง่าย จนกลายเป็นระบบจัดการเนื้อหาที่ทรงพลัง (Content Management System หรือ CMS) ที่เว็บไซต์ทั่วโลกใช้งานอย่างกว้างขวาง หากคุณเพิ่งเริ่มใช้งาน WordPress และต้องการรู้เคล็ดลับที่จะทำให้คุณเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น บทความนี้คือคู่มือที่เหมาะสำหรับคุณ ในปี 2024 นี้ FirstRankPlus มี 20 เคล็ดลับและเทคนิคการใช้งาน WordPress สำหรับมือใหม่ที่อยากสร้างเว็บไซต์มาให้คุณศึกษา!
บริการ รับทําเว็บไซต์ wordpress ต้อง Firstrankplus.com
สารบัญ
เทคนิคการใช้งาน WordPress 20 ข้อ สำหรับมือใหม่ ประจำปี 2024
1. เลือกโฮสติ้งดี ๆ
การเลือกโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ การเลือกโฮสติ้งที่ไม่ดีอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณมีปัญหา เช่น การล่มบ่อย โหลดช้า หรือถูกแฮ็ก การเลือกโฮสติ้งที่มีความปลอดภัยและมีบริการสนับสนุนที่ดีจะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงและจัดการกับปัญหาได้ง่ายขึ้น ตัวเลือกที่เป็นที่นิยมสำหรับ WordPress ในปี 2024 เช่น Bluehost, SiteGround, และ WP Engine ซึ่งทั้งสามแพลตฟอร์มนี้ได้รับการยอมรับเรื่องความเสถียร ความเร็ว และการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมสำหรับ WordPress
2. อัปเดต WordPress และปลั๊กอินเสมอ
WordPress จะมีการอัปเดตระบบอยู่เป็นประจำเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยหรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ ดังนั้น คุณควรตรวจสอบและอัปเดต WordPress รวมถึงปลั๊กอินต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการถูกโจมตีทางไซเบอร์และเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถตั้งค่าให้ระบบอัปเดตอัตโนมัติได้ หรือใช้ปลั๊กอินที่ช่วยจัดการการอัปเดตแบบง่าย ๆ เช่น Easy Updates Manager เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างยังคงปลอดภัยและเป็นปัจจุบัน
3. ติดตั้งปลั๊กอิน SEO
SEO (Search Engine Optimization) คือวิธีการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสถูกค้นเจอบนเครื่องมือค้นหาเช่น Google ปลั๊กอิน SEO เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยคุณเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้มีโอกาสติดอันดับสูงในผลการค้นหา ปลั๊กอินยอดนิยมในปี 2023 ได้แก่ Yoast SEO และ All in One SEO Pack ซึ่งจะช่วยให้คุณตั้งค่าเมตาแท็ก ปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหา และดูภาพรวมของ SEO ในแต่ละหน้าได้อย่างง่ายดาย การปรับ SEO ตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณมีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น
4. ใช้ธีมที่เข้ากันกับทุกอุปกรณ์
ปัจจุบันนี้ การใช้อุปกรณ์พกพา เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเลือกธีมที่ปรับตัวได้ดี (responsive) กับทุกอุปกรณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ธีมที่เป็นมิตรกับมือถือจะทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้นและสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้งาน ตัวอย่างธีมที่เป็นที่นิยม เช่น Astra, GeneratePress, และ Divi ซึ่งมีทั้งแบบฟรีและแบบพรีเมียมให้เลือกใช้ ธีมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ดูดี แต่ยังมีความสามารถในการปรับแต่งได้มาก ทำให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่ตรงกับแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น
5. สำรองข้อมูลสม่ำเสมอ
อย่ามองข้ามความสำคัญของการสำรองข้อมูลเว็บไซต์ การสูญเสียข้อมูลอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การถูกโจมตี การทำผิดพลาด หรือการอัปเดตที่ล้มเหลว ปลั๊กอินอย่าง UpdraftPlus หรือ Jetpack สามารถช่วยให้คุณตั้งค่าการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลสำรองไว้บนคลาวด์ เช่น Google Drive หรือ Dropbox ทำให้คุณสามารถกู้คืนข้อมูลได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
6. ปรับแต่งลิงก์ให้ดูดี (Friendly URL)
โครงสร้างของลิงก์ (URL) ที่ชัดเจนและเป็นมิตรต่อ SEO จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ใน WordPress คุณสามารถปรับแต่งโครงสร้างลิงก์ของคุณได้ที่ Settings > Permalinks โดยเลือกให้ลิงก์ประกอบด้วยชื่อโพสต์ หรือคีย์เวิร์ดที่สำคัญ วิธีนี้จะทำให้ลิงก์ของคุณดูเป็นระเบียบ และยังช่วยให้ผู้เยี่ยมชมเข้าใจว่าเนื้อหาในหน้านั้นเกี่ยวข้องกับอะไร เช่น www.example.com/wordpress-tips/ จะดีกว่า www.example.com/?p=123
7. ตั้งค่า Google Analytics
การเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการปรับปรุงเนื้อหาและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการติดตามข้อมูลผู้เยี่ยมชม ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้เข้าชม ตำแหน่งที่พวกเขาเข้าถึงเว็บไซต์ และระยะเวลาที่พวกเขาใช้ในแต่ละหน้า คุณสามารถติดตั้งปลั๊กอินอย่าง MonsterInsights เพื่อเชื่อมต่อเว็บไซต์ของคุณกับ Google Analytics ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีความรู้ในการเขียนโค้ด
8. ใช้หมวดหมู่และแท็กให้ดี
การจัดระเบียบเนื้อหาบนเว็บไซต์โดยใช้หมวดหมู่และแท็กจะช่วยให้ผู้ชมค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้ง่ายขึ้น การตั้งชื่อหมวดหมู่ให้ชัดเจนและสอดคล้องกับเนื้อหา เช่น บล็อกที่เกี่ยวกับการทำอาหารสามารถแบ่งหมวดหมู่ตามประเภทอาหาร เช่น อาหารคาว อาหารหวาน แท็กจะช่วยเสริมให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น แท็ก “สูตรอาหาร” หรือ “อาหารเพื่อสุขภาพ”
9. เปิดการตรวจสอบคอมเมนต์
คอมเมนต์ที่มีคุณภาพสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ชมในเว็บไซต์ของคุณ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงต่อการสแปม คุณสามารถเปิดการตรวจสอบคอมเมนต์ก่อนที่จะเผยแพร่ใน Settings > Discussion หรือใช้ปลั๊กอินอย่าง Akismet ซึ่งช่วยป้องกันสแปมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10. ลดขนาดภาพเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลด
ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน การใช้ภาพที่มีความละเอียดสูงเกินไปอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าและสูญเสียผู้เยี่ยมชมได้ คุณสามารถลดขนาดไฟล์ภาพได้โดยใช้ปลั๊กอินอย่าง Smush หรือ ShortPixel ซึ่งจะช่วยบีบอัดภาพโดยไม่ลดทอนคุณภาพ นอกจากนี้การใช้รูปแบบไฟล์ที่เหมาะสม เช่น WebP ซึ่งมีขนาดไฟล์เล็กกว่ารูปแบบดั้งเดิมอย่าง JPEG หรือ PNG ก็จะช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นด้วย
11. ออกแบบหน้า 404 ที่สร้างสรรค์
หน้า 404 คือหน้าที่จะแสดงเมื่อผู้ใช้งานเข้ามายังหน้าที่ไม่พบในเว็บไซต์ของคุณ แทนที่จะเป็นหน้าข้อความพื้นฐาน คุณสามารถใช้โอกาสนี้ในการออกแบบหน้า 404 ที่น่าสนใจและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ เช่น การใส่ลิงก์ไปยังหน้าหลัก หรือการแนะนำบทความที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเพิ่มข้อความตลก ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้เข้าชมและให้พวกเขาคลิกไปที่หน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ แทนที่จะปิดหนีไป
12. ใช้ภาพเด่น (Featured Image) ในทุกโพสต์
ภาพเด่น (Featured Image) เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะมันไม่เพียงแค่ทำให้โพสต์ของคุณดูโดดเด่น แต่ยังเพิ่มความน่าสนใจเมื่อคุณแชร์บทความบนโซเชียลมีเดียด้วย โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook หรือ Twitter ที่จะดึงภาพเด่นจากโพสต์ไปแสดงควบคู่กับลิงก์ การใช้ภาพที่สวยงามและสอดคล้องกับเนื้อหาจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมได้มากขึ้น
13. ใช้วิดเจ็ตอย่างพอดี
วิดเจ็ตใน WordPress ช่วยเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ให้กับแถบด้านข้าง (sidebar) หรือส่วนท้าย (footer) ของเว็บไซต์ เช่น การแสดงโพสต์ล่าสุด การค้นหา หรือการแสดงโซเชียลมีเดีย แต่สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังไม่ให้ใช้มากเกินไปจนทำให้เว็บไซต์ดูรก วิดเจ็ตที่จำเป็นควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้หาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น เช่น วิดเจ็ตการค้นหา หรือวิดเจ็ตการแสดงเมนูหมวดหมู่
14. ติดตั้ง SSL เพื่อให้เว็บไซต์ปลอดภัย
SSL (Secure Sockets Layer) คือการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเว็บไซต์กับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกเว็บไซต์ ไม่ใช่แค่สำหรับร้านค้าออนไลน์เท่านั้น เว็บไซต์ที่มี SSL จะมีสัญลักษณ์กุญแจเล็ก ๆ ที่แสดงความปลอดภัยในช่อง URL ของเบราว์เซอร์ การใช้ SSL ยังช่วยปรับปรุงการจัดอันดับ SEO ด้วย หลาย ๆ โฮสติ้งจะมีบริการ SSL ฟรีผ่าน Let’s Encrypt คุณสามารถเปิดใช้ได้ทันทีจากแผงควบคุมของโฮสติ้ง
15. ใช้ธีมลูก (Child Theme) สำหรับการปรับแต่ง
หากคุณต้องการแก้ไขหรือปรับแต่งธีม WordPress ด้วยโค้ด แนะนำให้ใช้ ธีมลูก (Child Theme) เสมอ เพราะธีมลูกจะเป็นการสำรองโค้ดที่คุณแก้ไขไว้ หากธีมหลักมีการอัปเดต การแก้ไขที่คุณทำไว้จะไม่หายไป ซึ่งทำให้คุณสามารถปรับแต่งได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเวลาในการแก้ไขใหม่ทั้งหมด
16. สร้างฟอร์มติดต่อให้ผู้ใช้ติดต่อได้ง่าย
การมีฟอร์มติดต่อบนเว็บไซต์จะทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถติดต่อคุณได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมอีเมลเอง ปลั๊กอินที่เป็นที่นิยมในการสร้างฟอร์มติดต่อใน WordPress ได้แก่ Contact Form 7 และ WPForms ซึ่งใช้งานง่ายและสามารถตั้งค่าการรับส่งข้อมูลได้ตามต้องการ การใส่ฟอร์มติดต่อในหน้าหลักหรือหน้าสำคัญ ๆ เช่น หน้าติดต่อหรือเกี่ยวกับเรา จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสื่อสารกับผู้เยี่ยมชม
17. เช็คความเร็วเว็บไซต์เสมอ
ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ไม่เพียงส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ SEO ด้วย ใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วแค่ไหน และมีข้อแนะนำอะไรบ้างที่ควรปรับปรุง เช่น การบีบอัดภาพ หรือการลดจำนวนสคริปต์ที่ไม่จำเป็น การปรับปรุงความเร็วจะช่วยให้ผู้เยี่ยมชมรู้สึกพึงพอใจและไม่ออกจากเว็บไซต์เร็วเกินไป
18. เรียนรู้ HTML และ CSS เบื้องต้น
แม้ว่า WordPress จะมีเครื่องมือปรับแต่งเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย แต่การมีพื้นฐานในการเขียนโค้ด HTML และ CSS จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ได้อย่างละเอียดมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนสีหรือรูปแบบของธีมที่ไม่สามารถทำได้ผ่านเครื่องมือในตัว การรู้โค้ดเบื้องต้นยังช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เอง โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมาช่วยแก้ไข
19. ตรวจสอบเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือ
ในปัจจุบัน จำนวนผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ผ่านมือถือมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น คุณควรตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถแสดงผลได้ดีบนมือถือหรือไม่ ธีมที่คุณเลือกควรเป็น responsive ซึ่งหมายความว่ามันจะปรับขนาดและการจัดวางให้เหมาะสมกับหน้าจอของอุปกรณ์แต่ละประเภท คุณสามารถทดสอบเว็บไซต์บนมือถือได้ผ่านเครื่องมือเช่น Google Mobile-Friendly Test หรือทดลองด้วยตัวเองบนอุปกรณ์หลากหลาย
20. เข้าร่วมชุมชน WordPress
WordPress มีชุมชนผู้ใช้งานที่ใหญ่และเป็นมิตร ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก คุณสามารถเข้าร่วมกลุ่มบนโซเชียลมีเดีย ฟอรั่ม หรืออีเวนต์ต่าง ๆ เช่น WordCamp เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ใช้งานคนอื่น ๆ แลกเปลี่ยนคำแนะนำ และแชร์ความรู้ของคุณเอง นอกจากนี้ยังมีแหล่งข้อมูลฟรีมากมายที่คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งาน WordPress เช่น WPBeginner, WP Tavern, หรือ StackExchange